วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตำนานมนุษย์จากพงศาวดารล้านช้าง(1)

 

ภาพ000[1]

http://www.moohin.com/thaihistory/h008c011.shtml

ตำนานมนุษย์จากพงศาวดารล้านช้าง(1)

เรื่องของมนุษย์เกิดขึ้นในโลกและชนชาติไทยในบริเวณภูมิภาคนี้ มีตำนานเล่าไว้ว่า  พงศาวดารล้านช้าง  ปริเฉทที่ 2  ถึงการกำเนิดของมนุษย์ในกลุ่มแหลมอินโดจีน  (พิมพ์ตามอัขระเดิม)  ว่า

                -               กาลเมื่อครั้งนั้น  ก็เป็นดินเป็นหญ้า   เป็นฟ้าเป็นแถน  ผีแลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด

                -               เมื่อนั้นยังมีขุนใหญ่  3  คน  ผู้หนึ่งชื่อว่า  ปู่ลางเชิง  ผู้หนึ่งชื่อขุนคาน  อยู่สร้างบ้านเมืองลุ่ม  กินปลาเฮ็ดนา เมืองลุ่มกินเข้า เมื่อนั้นแถนจึงใช้ให้มากล่าวแก่คนทั้งหลายว่า  ในเมืองกลุ่มนี้กินเข้าให้บอกให้หมายกินแลงกินงายก็ให้บอกแก่แถน  ได้กินขึ้นก็ให้ส่งขาไดกินปลาก็ให้ส่งรอยแก่แถนเมื่อนั้นคนทั้งหลายก็บ่ฟังคานแถนแม้นใช้มาบอกสองทีสามที  ก็บ่ฟังหั้นแล

               -               แต่นั้นแถนจึงให้น้ำท่วมเมืองลุ่มลีดเลียง  ท่วมเมืองเพียงละลาย  คนทั้งหลายฉิบหายมานักชะแล

                -               ยามนั้นปู่ลางเชิงแล  ขุนเด็กขุนคาน รู้ว่าแถนเคียดแก่เขา ๆ จึงเอาไม้ขาแรงเฮ็ดแพ  เอาไม้แปงเรือนเฮ็ด      พวง  แล้วเขาจึงเอาลูกเอาเมียเข้าอยู่ในแพนั้น  แล้วน้ำจึงพัดเขาขึ้นเมือบน  ขนเอาเมืองฟ้าพู้นแล

                -               พระยาแถนจึงถามเขาว่า  สูจักมาเมืองฟ้าตูพี้แฮดสัง  เขาจึงบอกเหตุการณ์ทั้งมวญพระยาแถนจึงว่าตูใช้      ให้ไปกล่าวแก่สองสามที  ให้ยำแถนยำผีเถ้าเจ้ายืนกาย  สูงสั่งบ่ฟังคำกูจึงเท่าสูแล้ว

                -               ทีนั้นพระยาแถน  จึงให้เขาไปอยู่ที่บึงดอนแถนลอหั้นแล  แต่นั้นน้ำจึงแห้งจึงบกเป็นพื้นแผ่นดิน  เขาจึงไหว้ขอพระยาแถนว่า  ตูข้อยนี้อยู่เมืองบนบ่แกว่นแล่นเมืองฟ้า  บ่เปนตูข้อยขอไปอยู่เมืองลุ่มลิดเลียง เมืองเพียงพักยอมพู้นเทอญ

                เมื่อนั้นพระยาแถนจึงให้เอาลงมาส่ง  ทั้งให้ควายเขาลู่แก่เขา  จึงเอากันลงมาตั้งอยู่ที่นาน้อยอ้อยหนูก่อนหั้นแลแต่เขาจึงเอาควายนั้นเฮ็ดนากิน  นานประมาณ 3 ปี  ควายเขาก็ตายเสีย  เขาละซากควายเสียที่นาน้อยอ้อยหนูหันแลอยู่บ่อนานเท่าใด  เครือหมากน้ำก็เกิดออกฮูดังควายตายตัวนั้นออกยาวมาแล้ว  ก็ออกเป็นหมายน้ำเต้าปูง  

3   หน่วย  แลหน่วยนั้นใหญ่ประมาณเท่ารินเขาปลูกข้าวนั้นเมื่อเครื่องหมากนั้นแก่แล้ว  คนทั้งหลายก้เกิดอาไศรยซึ่งหมากน้ำ   เปนดังนางอาสังโนเกิดในท้องดอกบัว เจ้าฤาษีเอามาเลี้ยงไว้ คนทั้งหลายฝูงเกิดในผลหมากน้ำเต้าฝูงนั้นก็ร้องก้องนีนันมากนัก  ในหมากน้ำนั้นแล

                -               ยามนั้นปู่ลางเชิงจึงเผาเหล็กซีแดชีหมากน้ำ  คนทั้งหลายจึงบุเบียดกันออกมาทางฮูทีชีนั้น  ออกมาทางฮูทีนั้น  ก็บ่เบิ่งคับคั่งกัน  ขุนคานจึงเอาสิ่งฮู  ให้เป็นฮูแควนใหญ่แควนกว้าง  คนทั้งหลายก็ลุไหลออกมานานประมาณ  3  วัน  3  คืน  จึงหมดฮั้นแลคนทั้งหลายฝูงออกมาทางฮูชีนั้น  แบ่งเป็น 2 หมู่  หมู่หนึ่งเรียกชื่อ  ไทยลม  หมู่หนึ่งเรียกว่าไทยลี  ผู้ออกทางฮูสิ่วนั้นแบ่งเป็น  3  หมู่  หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยเลิง  หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยลอ  หมู่หนึ่งเรียกชื่อ  ไทยควาง  แล

                -               แต่นั้นฝูงปู่ลางเชิง  จึงบอกสอนเขาให้เฮ็ดไฮ่ไถนา  ทอผ้าสิ้นเลี้ยงชีวิตเขา  แล้วก็ปลูกแบ่งเขาให้เปนผัวเปนเมีย  มีเย่ามีเรือนก็จึงมีลูกหญิงลูกชายมากนักแลเมื่อนั้นลางเชิงเล่าบอกให้เขารักพ่อเลี้ยงรักแม่เลี้ยง  เคารพยำเกรงผู้เถ้าผู้แก่กว่าตนเขาแล  อยู่หึงนานไปพ่อแม่เขาก็ตาย

                ท่านปู่ลางเชิงเล่าบอกให้เขาไหว้พ่อแม่เขาแล้วส่งสการเมี้ยนซากฝูงออกมาทางฮูสิ่วให้เผาเสีย  เก็บถูกล้างสร้อยสีแล้วให้แบ่งเถียง  ใส่ลูกให้ไปส่งเข้าส่งน้ำชุมื้อฝูงออกมาทางฮูซีนั้นให้ฝังเสียแล้วแปงเถียงกวมไว้เล่า  ให้ไปส่งเข้าน้ำชุวัน  คั้นเขาไปบ่ได้ปู่ลางเชิงบอกให้แต่งเพื่อน  เข้าเหล่าไว้ห้าห้องเรือน  เขาแล้วให้เขาเรียกพ่อแม่เขาฝูงตายนั้นมากินหั้นแล

                -               แต่นั้นคนทั้งหลายฝุงเกิดมาในน้ำเต้า  ฝูงออกมาทางฮูสิ่วนั้นเปนไทย  ฝูงออกมาทางฮูซีนั้นเปนข้า  คนฝูงนั้นลวดเปนข้อยเป็นไพร่เขาเจ้าขุนทั้งสามนั้นแลเมื่อนั้นคนแผ่พวกมามากนัก  มากอย่างหลายทรายหลายอย่างน้ำ  ท่อว่าหาท้าวพระยาบ่ได้  ปู่ลางเชิงทั้งขุน เด็กขุนคานบอกสอนเขาก็บ่อแพ้  แม้ว่าใคเขาก็บ่เอาคำ  ขุนทั้งสามก็จึงขึ้นเมือขอหาท้าวพระยากวนแถน  หลวง  พระยาแถนจึงให้ขุนครูและขุนครอง  ลงมาเปนท้าวพระยาแก่เขาหั้นแล

                -               เมื่อขุนทั้งสองลงมา  สร้างบ้านก้บ่เปลือง  สร้างเมืองก็บ่กว้าง  สูกินเหล้าชุมือชุวัน  นานมาไพร่ค้างทุกข์ค้างบายก็บ่ดูนา

                -               เมื่อนั้นขุนเด็กขุนคาน  จึ๋งขึ้นเมือไหว้สาแก่พระยาแถน ๆ จึงถกเอาทั้งสองหนีเมือบนหนเมือฟ้าดังเก่า      เล่าแล  พาหิระนิทานนิฎฐิต

                -               ปางนั้นพระยาแถนหลวงจึงให้ท้าวผู้มีบุญ  ชื่อว่าขุนบูลมมหาราชาธิราช  อันได้อาชญาพระยาแถนแล้วก็จึ่งเอารี้พลทั้งหลายลงเมือ  เมืองลุ่มลีด  เลียงเมืองเพียงคักค้อย  มาอยู่ที่นาน้อยอ้อยหนู  อันมีลุ่มเมืองแถนหั้นก่อนแล

                -               ทีนั้นคนทั้งหลายฝูงออกมาแต่น้ำเต้าปูงนั้น  ผู้รู้หลักนักปราชญ์นั้นเขาก็มาเป็นลูกท่านเบ่าเธอขุนบูลม      มหาราชา  แลผู้ใบ้ช้านั้นเขาก็อยู่เปนไพร่ไปเปนป่า  สร้างไฮ่เฮ็ดนากินแล

ตำนานมนุษย์จากพงศาวดารล้านช้าง(2)

                จากข้อความข้างต้นนั้น  เป็นความเก่าที่มีความเล่าเป็นตำนานว่า  การเกิดขึ้นของมนุษย์นั้นเริ่มต้นที่พ่อขุนทั้งสาม  คือ  ปู่ลางเชิง  ขุนคาน  และขุนเด็ก  อยู่เมืองลุ่ม  โดยมีพระยาแถนซึ่งเป็นเทวดาอยู่เมืองฟ้าเป็นผู้ดูแล  ต่อมาบุคคลทั้งสามเกิดไม่เชื่อฟังพระยาแถน  พระยาแถนเคืองจึงให้น้ำท่วมเมืองลุ่ม คนกลุ่มนี้จึงพาเอาลูกเมียลงแพแต่น้ำได้พูดขึ้นไปเมืองฟ้า พระยาแถนได้กล่าวเตือนพ่อขุนทั้งสามว่า ที่สั่งให้กินข้าวให้บอกให้หมาย กินแลงกินงายให้บอกแถนกินขึ้นให้ส่งขากินปลาให้ส่งรอยแก่แถนนั้น เป็นการยำแถนยำผีเถ้ายำเจ้ายืนกาย ก็ไม่ฟังกันแล้วพระยาแถนก็จัดให้คนเหล่านั้นไปอันที่บึงดอนแถนลอ แต่น้ำแห้งจึงกลายเป็นแผ่นดินต่อมาพ่อขุนเหล่านั้นขอว่าอยู่เมืองบนเมืองฟ้าบ่เป็นขอกลับไปอยู่เมืองลุ่มลีดเลียง เมืองเพียงคัดค้อย(หรือเพียงพักยอม) พระยาแถนจึงฟงลงมาพร้อมกับควายเขาลู่ และตั้งบ้านให้ที่นาอ้อยหนู

ควายทำนานได้สามปีก็ตาย  เขาและซากควายนั้นได้เกิดเครือต้นน้ำเต้าออกเป็นลูกน้ำเต้าใบใหญ่ ภายในน้ำเต้าใบใหญ่นั้นได้เกิดผู้คนร้อง ส่งเสียงกันอยู่ภายในหลายเผ่าพันธุ์ จนปู่ลางเชิงต้องไขให้คนเหล่านั้นออกมาจาก โดยปู่ลางเขิงนั้นเอาเหล็กแดงมาไชน้ำเต้าใบใหญ่ พอไขก็มีผู้คนเบียดเสียดกันออกมากคับคั่ง ทำให้มีผิวดำเพราะร้อนไหม้ (เรียกรูชี) เมื่อผู้คนผิวดำเช่นนั้นปู่ลางเขิงก็เอาสิ่วเจาะรูให้ใหม่ทำให้ใหญ่ขึ้น (เรียกว่ารูสิ่ว) ทำให้คนพวกที่ออกทางรูสิ่วมีผิวขาวกว่า คนที่ออกมาทางรูสิ่วนั้นเป็นคนไทย คนที่ออกมาทางไช (รูชี)) นั้นเป็นพวกข่า (ข้า) จึงลวด (เลย) เป็นข้อยเป็นไพร่ไป น้ำเต้านี้เมื่อแตกออกมานั้นมีคนเผ่าๆ ออกมาจากน้ำเข้าอีก 5 พวกคือไทยลม ไทยลี ไทยเลิง ไทยลอ ไทยควาง มีผู้รู้บอกว่าว่าไทยพวกนี้ได้แก่พวกข่าแจะ ผู้ใทดำ  ลางพุงขาว ฮ่อ แกว ทั้งหมดนี้ต่างเคารพนับถือ เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ผู้คนทั้งหมดนั้นปู่ลางเชิง ได้บอกสอนให้รู้จักทำไร่ทำนา ทอผ้าทอซิ่น เลี้ยงชีวิต แล้วทำการปลูกแบ่งแต่งให้เป็นผัวเป็นเมียมีเหล้ามีเรือน มีลูกหญิงชายออกมาเป็นเผ่าพันธุ์ใหญ่ พวกที่อาศัยอยู่บนที่ราบสูงมีอาชีพทำไร่ พวกที่อยู่ในเขตที่ราบลุ่มมีอาชีพทำนา

                พระยาแถนได้ให้ ขุนครู ขุนครอง ลงมาเป็นท้าวพระยาดูแลช่วยเหลือมนุษย์กลุ่มนี้  โดยสร้างบ้านก็บ่เปลือง สร้างเมืองก็บกว้าง ได้แต่กินเหล้าทุกมื้อทุกวัน จนไพร่ค้างทุกข์ค้างยาก จนขุนเด็กขุนคานต้องไหว้สาพระยาแถนให้เอาท้าวพระยาทั้งสองกลับไปเมืองบนเมืองฟ้า  แล้วให้ขุนบูลมมหาราชาธิราช นำรี้พลลงมาเมืองลุ่มลีดเลียงเมืองเพียงคักค้อย อยู่ที่นาน้อย  อ้อยหนู คนที่ฉลาดก็เป็นบ่าวรับใช้แก่ขุนนลมมหาราชาธิราช ส่วนคนที่ไม่ฉลาด (ใบ้ช้า) ก็เป็นไพร่เป็นข้าอยู่ป่าทำไร่ทำนา

                ตำนานมนุษย์จากพงศาวดารลานช้างเรื่องนี้ ได้ทำให้เกิดความเชื่อตามตำนานว่าชนชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิหรือแหลมอินโดจีนนี้ เป็นผู้คนที่ออกมาจากน้ำเต้าใบเดียวกันคือ แหล่งที่อยู่เดียวกัน ส่วนข้อเท็จจริงของน้ำเต้าใบใหญ่นี้จะหมายถึงลุ่มแม่น้ำที่อยู่อาศัย หรือ กลุ่มบรรพบุรุษคนเดียวกัน ก็น่าจะพอฟังได้และสอดคล้องกับการเคลื่อนย้ายของมนุษย์กลุ่มนี้ลงมาทางตอนใต้ฟูแหลมอินโดจีน นั่นหมายความเอาว่า  มีผู้คนพากันมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองลุ่มลีดเลียง และเมืองเพียงคัดค้อย นาน้อย  อ้อยหนู  จวนจะอยู่เป็นเมืองใดในแหลมอินโดจีนบ้างต้องศึกษาหาภูมิสถานกันต่อไป 

                ขุนบูลมมหาราชาธิราชนั้นเป็นท้าวพระยาที่พระยาแถนไว้วางใจส่งลงมาปกครองบ้านเมือง  ลุ่มฯ ส่วนจะหมายให้เป็น พระพรหม คือ ท้าวมหาพรหม หรือพระเจ้าพรหมผู้สร้างทุกสิ่ง  ทุกอย่างในโลก ก็ย่อมเป็นคตินิยมที่เกิดขึ้นในสมัยสร้างตำนาน          

                ดังนั้นเรื่องของท้าวฮุ่ง (ขุนเจือง) ที่มีลูกหลานมากมายหลายคน ต่างพากันแยกย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานในเมืองต่างๆ จึงมีลักษณะเช่นเดียวกันกับตำนานจีนเรื่อง นางสายี มีบุตร  10 คนและเรื่อง เจ้าตระกูลเมือง ที่ตีเมืองมีโอรส 9 คน ซึ่งต่างแยกย้ายกันครองหรือสร้างเมือง จึงทำให้มองเห็นการสร้างบ้านแปงเมืองของมนุษย์ในหลายท้องถิ่น ที่อาศัยพื้นที่ตามริมแม่น้ำและหาแหล่งน้ำที่สำคัญสำหรับสร้างชุมชนเมือง

                เช่นเดียวกันเรื่องของขุนบูลมมหาราชาธิราช   ที่พระยาแถน (เทวดา) ส่งลงมาครองเมือง หรือผู้นำชุมชนซึ่งมีผู้คนกลุ่มใหญ่ ภายหลังก็ปรากฏชื่อ ขุนควาง ขุนวี ขุนเลิง ขุนเลน ขุนลอ เป็นผู้นำของกลุ่มคนไทยที่ออกจากน้ำเข้ามาร่วมกันสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมินี้เช่นกัน ตำนานบรรพบุรุษของชนชาติที่อยู่ทางเหนือจึงมีลักษณะคล้ายตำนานเดียวกันและ เปลี่ยนไปตามสภาพของกลุ่มคนที่ไปตั้งบ้านเมืองในดินแดนต่างๆ

1 ความคิดเห็น:

  1. มันมีความหลากหลายมากในด้านภาษา เช่น เฮ็ดนา เป็นภาษาที่ใช้ทางอีสาน แปลว่าทำนา กินแลงกินงาย เป็นภาษาที่พบในภาคหนือของไทย แฮดสังเป็นภาษาคำพูดของพวกไทยใหญ่ "เฮ็ดสัง" หมายถึง ทำไม ทำอะไร บ่อแกว่น ก็ใช้ในภาษาเหนือ หมายถึง ไม่ชำนาญ ไม่คล่องฯลฯ จึงน่าจะสะท้อนของความเป็นชาติพันธ์ได้ค่อนข้างชัดเจนในมิติของการผสมผสาน แล้วมาแตกแขนงแยกย่อยในภายหลังโดยอาศัยกาลเวลารวมกับปฏิสัมพันธ์ที่เข้ามากระทบหล่อหลอม

    ตอบลบ